วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องของดีเพื่อสุขภาพ
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=67&post_id=9887

"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน" พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

ข้าวกล้อง เมล็ดสีน้ำตาล หน้าตาไม่สวยใสเหมือนข้าวขัดขาว แต่การกินข้ากล้องนั้นทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยเส้นใยอาหารและคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว บางคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกข้าวกล้องว่า ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง เพราะในสมัยโบราณชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินเอง จึงเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวจึง เปลี่ยนมาเรียกว่า ข้าวกล้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ล้วนแล้ว แต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน

การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว

ในการหุงข้าวกล้อง นั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับ ประทาน

การรับ ประทานข้าวกล้องนั้น สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว

เคล็ด ลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สมุนไพร





นานาสาระ...




...นิทานธรรมะ...

คำถามสามข้อ...
http://www.dhammathai.org/dhammastory/view.php?No=335



พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถ
แต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ....
พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการ ดังต่อไปนี้แล้ว
จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ

1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง

2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย

3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา

พระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้
จะได้รับรางวัลมหาศาล

ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน...
.


คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำราตางเวลาที่แน่นอน
สำหรับภารกิจแต่ละอย่าง ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ทุกๆ ปี
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม....

คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้น
แล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด
แล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่าง
จึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร....

คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจ ต่างๆ
ที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง....
สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี "สภาแห่งคนฉลาด" และทำตามคำแนะนำของสภานั้น
แต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้
ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น....
พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์

ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไป

คนที่ 1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่

คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวช
คนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบ

คำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกัน

คนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา

คนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหาก
คนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงคราม

พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่ง
ผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง....
ทั้งๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวย
หรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนา
และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา
ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง
พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น....
ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม

เมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป....
เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้ว
แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไป

พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า
"ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน
ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ

1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา

ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่
่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไป
จักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ"....

ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด
และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง....

ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบ
และบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ....ฉันทำต่อไปได้แล้ว"....
แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา

จักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า
"ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม
หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"

ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า
"เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร
ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิด
ออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้อง
เขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป....
ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิ
และฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น....
จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล
แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียว....
เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด
จักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สอง
และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล....

เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ
จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง
ขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว
และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว....
ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อม
และให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป
จักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน....
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวัน
และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า....
แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน
และมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที...
และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย

พอเห็นจัรกรพรรดิ์ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
"ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย"
"แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ
"ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี
พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้
และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาต
ข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้

เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง
ข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ....
แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา
แต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า
พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บ
แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่
ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว
ข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก....
หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป
และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย....
ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด" จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนัก
ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย....

นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ
ที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล....
จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย
พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว
จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้ง
เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้ายและพบว่า
ฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว้

ฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ
"คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่"

"อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง....

"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดิน
ท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับ
และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน
ดังนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้น
ก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน

บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน....
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน"

"จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด....
ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป
และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น
ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา"....

จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน"
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่
คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่

และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข
เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"....

ที่มา : เรื่องในหนังสือของตอลสตอย


*******************************************************************
บุญไม่ช่วย...




http://www.dhammathai.org/dhammastory/view.php?No=326





เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศจีนสมัยโบราญ มีชายคนหนึ่งมีจิตใจดีงาม ชอบทำบุญทำกุศล เป็นชีวิตจิตใจ เมื่อสมัยหนุ่มๆเคยร่ำรวยถึงขั้นเป็นเศรษฐีแต่ด้วยความศรัทธาในการทำบุญทำ ทาน ถ้ามีงานบุญใดที่เป็นสิ่งที่ดีงามแล้ว เมื่อได้รู้เข้าก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ก็จะร่วมเป็นเจ้าภาพในงานบุญนั้นๆ เสมอ แถมทำบุญทีละมากๆทำอย่างเต็มที่ และสม่ำเสมอ

ไม่ช้าเงินทองทรัพย์สินที่หาไว้มากมาย ก็มีอันร่อยหลอลงไป มิหนำซ้ำสุดท้ายก็ยังขายทรัพย์สินไปทำบุญอีก สุดท้ายต้องยากจนจนไม่มีบ้านอยู่ แถมมีหนี้สินติดตัวมากมาย สุดท้ายจึงจำเป็นต้องนำภรรยาสุดที่รักไปใช้หนี้ โดยขายให้เป็นคนรับใช้ของเศรษฐีท่านหนึ่ง ก่อนจากกันด้วยความรักที่ภรรยามีต่อสามี นางจึงได้บอกแก่สามีว่า

“อย่าเสียใจไปเลย ท่านพี่ น้องเต็มใจและยินดีที่จะช่วยเหลือความเดือดร้อนของท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไร ท่านพี่ ก็ดีต่อน้องเสมอมา น้องไม่เคยนึกเสียใจเลย การจากกันครั้งนี้เป็นเพราะความจำเป็นจริงๆ น้องเข้าใจ

แต่น้องอยากจะเตือนพี่ว่า เงินที่เหลือจากการใช้หนี้สินครั้งนี้ น้องอยากให้พี่เก็บไว้ใช้ซื้ออาหารและสิ่งจำเป็น อย่านำไปทำบุญอีก เพราะว่าเป็นเงินก้อนสุดท้าย ซึ่งมีเงินเหลืออยู่ไม่มาก ถ้าเงินหมดก็จะทำให้พี่ลำบากถึงที่สุด เพราะทรัพย์สินของท่านพี่ไม่มีเหลือแล้ว ญาตพี่น้องที่จะช่วยเหลือก็ไม่เห็นมี เชื่อน้องนะท่านพี่ น้องเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ” นางกล่าวทั้งน้ำตา ก้มหน้าแล้วเดินตามคนของเศรษฐีไป

ชายคนนั้นยืนร้องไห้ ดูภรรยาเดินจากไปเป็นคนรับใช้ของเศรษฐีด้วยความเศร้าใจ

แต่แล้วไม่นานชายคนนั้นก็นำเงินที่มีอยู่ไม่มากไปทำบุญอีก ตอนนี้จึงกลายสภาพเป็นขอทานหากินเร่ร่อนไปตามตลาด แหล่งชุมชน บ้านเรือน เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นทั่วไป และผู้รู้ถึงที่มาที่ไปของชายคนนั้น ต่างก็ร่ำลือกันไปว่าทำดีแล้วไม่เห็นจะมีความดีมาสนองต้องกลับกลายเป็นยาจก เข็ญใจแบบนี้ ต่อไปคงไม่มีคนคิดทำความดีกันอีกแล้ว

เรื่องนี้ร้อนไปถึงสวรรค์เบื้องบน บรรดาเทวดาที่ได้ยินคำร่ำลือ และ ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายคนนั้นก็มาร่วมประชุมกันหาทางที่จะช่วย เหลือ
“ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ชายคนนี้ในอดีตชาติได้ทำกรรมหนักมากเอาไว้ สุด ที่จะแก้ไขได้ในชาตินี้และจะต้องทนทุกข์เวทนาแบบนี้ต่อไปทั้งหมดสามชาติ คือ ชาตินี้จะต้องอดตาย ชาติต่อมาจะถูกฟ้าผ่าตาย ชาติสุดท้ายก็จะถูกเสือกัดตาย น่าเวทนาจริงๆ”

เหล่าเทวดาจึงลงมติกันว่าจะช่วยให้ชายผู้นี้ใช้กรรมให้หมดกันใจชาตินี้ ชาติเดียวก็พอ

เนื่องจากช่วงนั้นเกิดความแห้งแล้งและยากจนในหมู่บ้าน ชายผู้นั้นจึงไม่สามารถขออาหารมากินได้อยู่หลายวันร่างกายซูบผอม จนแทบไร้เรี่ยวแรงพยุงตัวเอง เขาตัดสินใจเดินโซเซออกจากที่พักเดินไปสู่หมู่บ้านเพื่อขออาหารกินประทัง ชีวิต ทันใดก็เกิดพายุเมฆฝนหอบเอาทั้งฟ้าทั้งฝนมาแบบไม่ตั้งตัว แล้วก็เกิดร้อง และเกิดฟ้าผ่ามาถูกชายคนนั้นพอดี ร่างกายที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ดำไหม้จากแรงฟ้าผ่า เขานอนสลบแน่นิ่งไปไม่ไหวติง เผอิญมีเสือตัวใหญ่ออกมาจากป่าข้างทางตรงเข้ากัดลำคอจนชายผู้นั้นหมดลมหายใจ และกัดกินร่างไร้ชีวิตนั้น กระจุยกระจายดุจเป็นซากสัตว์เป็นภาพที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

ภรรยาของชายคนนั้นเมื่อได้มาอยู่บ้านเศรษฐีก็ทำหน้าที่แม่บ้าน มิได้มีลำบากอย่างที่คิดเอาไว้ แถมยังสุขสบายกว่าตอนที่ต้องเป็นหนี้สินอยู่กับชายคนนั้นเสียอีก แต่เมื่อครั้นได้ข่าวว่าสามีของตนเสียชีวิตแล้ว ก็มีความสงสาร จึงขออนุญาตเศรษฐีเพื่อเดินทางมาจัดงานศพให้สามีเป็นครั้งสุดท้าย

ในงานศพวันสุดท้าย ด้วยความเสียใจและสงสารสามี ก่อนจะนำศพลงฝังในหลุม นางได้เอ่ยขึ้นว่า
“เวรกรรมอะไรกันหนอทำให้ท่านต้องเผชิญเคราะห์กรรมถึงเพียงนี้ บุญที่ท่านทำไว้ ไม่ได้ช่วยท่านเลย ๆ” พูดพลางน้ำตานางก็ไหลเป็นทาง สะอึกสะอื้นด้วยความเวทนาอย่างสุดจะหักห้ามใจได้
นางตัดสินใจกัดนิ้วตัวเอง แล้วใช้เลือดที่ไหลออกมาเขียนที่หน้าผากสามีไว้ว่า “บุญ ไม่ ช่วย” แล้วจึงทำการฝังศพ และ นางได้อยู่จนจัดงานพิธีเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วจึงกลับไปหาท่านเศรษฐีดังเดิม

ต่อมาไม่นานฮ่องเต้ของแผ่นดินจีนท่านทรงดีพระทัยมาก ที่พระมเหสีได้ให้กำเนิดพระราชโอรสองค์แรก อันเป็นความหวังว่าจะได้สืบทอดราชบรรลังค์ของกษัตริย์สืบต่อไป แต่ไม่นานก็ทรงกังวลพระทัยเพราะทารกน้อยที่เกิดมา ทรงร้องไห้ตลอดเวลา ปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด มิหนำซ้ำบนหน้าผากก็มีอักษรเขียนไว้ด้วยว่า “บุญ ไม่ ช่วย” ไว้ด้วย

ฮ่องเต้ได้ทรงปรึกษาโหรหลวง ๆ ก็ได้แนะนำให้ป่าวประกาศว่าผู้สามารถทำให้พระราชโอรสหยุดร้องไห้ได้ จะมอบรางวัลให้แล้วแต่จะขอ และ ยังได้บรรยายไว้ว่าบนหน้าผากทารกมีลักษณะพิเศษคือมีคำสามคำ คือ บุญ ไม่ ช่วย อยู่ด้วย

ไม่นานข่าวก็มาถึงภรรยาของชายคนนั้น นางจึงได้เข้าเฝ้าและขอดูทารกเพื่อให้แน่ใจ เมื่อนางได้ดูตัวอักษรที่อยู่บนหน้าผากเป็นลายมือของตน จึงแน่ใจว่าชายผู้เป็นสามีได้มาเกิดเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์แล้ว จากการทำความดีชนิดหาคนเทียบไม่ได้เลย นางจึงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“หยุดร้องไห้เสียทีเถอะ ข้ารู้แล้ว ๆบัดนี้บุญที่ท่านทำไว้ได้ส่งผลดีให้กับท่านแล้ว เงียบเสียเถิด”

ว่าพลางนางใช้มือลูบไปที่หน้าผาก พลันตัวอักษรก็หายไปในทันที ทารกก็หยุดร้องไห้ทันที เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ที่ยืนดูอยู่ยิ่งนัก

ฮ่องเต้จึงถามว่า
“ท่านต้องการอะไร ข้าจะประทานให้ทุกอย่าง”
“ข้าไม่ต้องการเงินทองทรัพย์สินสิ่งใด เพียงขอให้ได้ดูแลปรนนิบัติ เจ้าชายน้อย ข้าก็พอใจมากแล้ว”
นางตอบ
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอแต่งตั้งเจ้าดำรงตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงของพระโอรสของ ข้า เจ้ามีอิสระสามารถจะเข้าออกส่วนต่างๆในวังได้ตลอดโดยไม่มีข้อห้ามแต่ประการ ใด”

ตั้งแต่นั้นมาภรรยาของชายคนนั้นก็อยู่อย่างมีความสุข จากการเป็นอยู่ที่สุขสบายและได้ดูแลพระโอรสจนเติบใหญ่ขึ้นมา



ที่มา : เรื่องเล่าในหนังสือกฏแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์






ถ้าเรามีเงินกันคนละสิบล้านบาท...










...จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนในประเทศมีเงินสดที่ไม่รวมทรัพย์สินอย่างน้อย คนละสิบล้าน... ?

คำตอบน่าจะเป็นว่า ทุกคนจะมีความสุข จะไม่มีคนยากจนอีกต่อไป ประเทศชาติจะมีแต่ความสงบสุข

แต่จะเป็นจริงเช่นนั้นจริงหรือ?

คำตอบน่าจะเป็นว่า เราจะไม่มีใครปลูกข้าว ทำสวน ไม่มีใครมาขับรถเมลล์ ไม่มีคนทำอาหาร ขายของ กวาดถนน ฯลฯ เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม
เพราะต่างก็มีกินมีใช้กันสุขสบายทุกคน

จะเกิดสภาวะเงินเฟ้อขึ้นอย่างรุนแรง เงินจะไม่มีค่าอะไรเลย เพราะทุกๆคนก็มีเงินเหมือนกันหมด

แล้วนี่ไม่ใช่ความปราถนาของเราๆท่านๆเหรอ ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆอยากให้เป็นหรือ หรือว่า ที่สังคมเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ เพราะว่า มีบางคนที่มีโอกาสมากกว่า และบางคนมีโอกาสน้อยกว่า

แล้วสิ่งที่เป็นไปได้ใกล้เคียงที่สุดคืออะไร ?

คำตอบ เท่าที่เห็นเพื่อนบ้านของเรา เขาสามารถทำให้ทุกคนในสังคมมีปัจจัยอย่างจำกัด เพื่อให้มีความเสมอภาค แล้วก็ยังมีแรงงงานในการสร้างสังคมประเทศชาติ อีกต่อหนึ่ง สุดท้ายก็จะหลือเพียงคนสองกลุ่มคือคนธรรมดาและคนชั้นปกครองที่อยู่อย่างสุข สบาย

แล้วถ้าไม่สามารถให้คนเท่าเทียมกันได้ แล้วจะทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ?

คำตอบก็คือ ต้องให้ทุกคนมีการศึกษา มีศาสนา มีปัญญาพอที่จะเห็นความสุขในการทำงาน การรู้จักใช้จ่ายที่พอเหมาะกับตัวเอง ความสุขที่แท้เกิดจากใจรู้จักพอ ถ้าไม่รู้จักพอ ถึงมีเงินมากแค่ไหน แต่ใจ ก็ไม่มีความสุข

เราไม่สามารถทำให้ทุกคนมีเงินมากๆได้ แต่เราทำให้ทุกคนมีความสุขได้ การเรียนรู้ในการใช้ชีวิตให้มีความสุข เป็นศิลปะของชาวพุทธของเรานี่เอง
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าของพวกเรา มีแม้กระทั่งทำตนให้พ้นจากความทุกข์ ด้วยซ้ำไป

นี่แหละเป็นที่มาว่าทำไมเราจึงต้องให้คนมีการศึกษา ต้องสอนคนให้รู้จักคุณค่าของงาน การมีชีวิตอย่างพอเพียง และ การกลับมาสนใจศาสนากันให้มากขึ้น

สรุปก็คือการพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับการศึกษา ลดการลุ่มหลงต่อวัตถุนั่นเองจะทำให้คนทุกคนมีความสุขที่แท้จริง




ที่มา : จินตนาการ






ต้นไม้สอนธรรม...










หากเปรียบดวงอาทิตย์เป็นบิดาผู้ยิ่งใหญ่
เป็นผู้สร้างเมฆฝน แม่น้ำลำธาร
สร้างสายลม ให้ความอบอุ่น
ให้พลังงานและแสงสว่างแก่โลกนี้


ต้นไม้ก็เปรียบเสมือนมารดาผู้อุ้มชูมวลมนุษย์
และสรรพสัตว์ให้มีอาหาร มีอากาศหายใจ
ให้ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
ดอกไม้หลากสีสัน ให้ความสุขใจ
แก่ผู้พบเห็น ให้ความสุขกับผู้ปลูก
ต้นไม้เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


ต้นไม้คือสิ่งมีชีวิตที่มีความมหัศจรรย์ที่สุด
เพราะต้นไม้ปรับตัวไปตามสิ่งแวดล้อม
เมื่อกิ่งก้านหนึ่งถูกตัดออกไปก็มีกิ่งก้านใหม่สร้างขึ้นมา


เมื่อร้อนแล้งก็ทิ้งใบร่วงหล่น เมื่อหนาวก็ผลิดอก
เมื่อฝนตกก็งอกงามเติบโต ปีแล้วปีเล่า


ต้นไม้ไม่เคยหนีปัญหาและอุปสรรค
แต่กลับปรับตัวได้ตามสภาพแวดล้อม
เติบโตร่มรื่นได้ โดยไม่ต้องมีความทุกข์


คุณธรรมของการเป็นผู้ให้และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
นี้เองที่ทำให้ต้นไม้ยิ่งใหญ่และเจริญเติบโตงอกงามได้ตลอดเวลา


และ เหนือสิ่งอื่นใดต้นไม้เป็นครูที่สอนเรื่องราวแห่งชีวิต
ให้แก่เราได้ดีที่สุด


ต้นไม้ในป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์
ย่อมมีทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย
ความแตกต่างนี้สร้างสภาวะสมดุลของธรรมชาติ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกัน ในหลากหลายอาชีพ
ทั้ง เกษตรกร พ่อค้า ลูกจ้าง ข้าราชการ ฯลฯ
ทุกคนต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ต่างเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน
เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ รักใคร่ปรองดองกัน
สังคมจึงสงบสุขและร่มเย็น


ต้นไม้ทุกต้นล้วนมีคุณค่า
ไม่ว่าจะเป็นต้นหญ้าเล็กๆ
หรือต้นไม้ใหญ่ยืนต้น
ต้นหญ้าช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน
ไม่ให้ดินแห้งแล้งเป็นผืนทราย
ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและดอกผลแก่เรา


คนทุกคนก็มีคุณค่าในตนเอง
เมื่อเราเห็นคุณค่าของตนเอง
เราจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
เมื่อเราเห็นคุณค่าของตนเอง
เราจะเห็นคุณค่าของผู้อื่นด้วย


ไม้ประดับในกระถางต้องการน้ำและแสงแตกต่างกัน


ต้นตระบองเพชร เป็นพืชที่ต้องการแสงมาก น้ำน้อยเช่น
ถึงมีความอดทนแดดและความแห้งแล้ง แต่ถ้าให้น้ำมากไปรากจะเน่าตายได้ง่าย

ไม้ดอกในกระถางต้องการทั้งปุ๋ย น้ำและแสงแดดที่พอเหมาะ มักมีศัตรูพืชมาก
อ่อนแอตายได้ง่าย หรือเลี้ยงไม่ดีก็ไม่มีดอกให้ชม

ไม้ใบที่นิยมปลูกในที่ร่มรำไร ไม่ชอบแดด ไม่ต้องการการดูแลมาก
แต่ถ้าขาดน้ำก็แห้งตายได้ง่ายเช่นกัน

คนเราก็เป็นเช่นเดียวกับไม้ประดับในกระถางทั้งสามชนิด คือ

ต้นตะบองเพชร ได้แก่ คนที่เคยอยู่อย่างพอกิน พอใช้ การลุ่มหลงกับปัจจัยที่มากเกินไป ทำให้ชีวิตขาดความพอดีได้ จะมีปัญหาชีวิตตามมาทันที

ไม้ดอก เหมือนคนที่ อยู่อย่าง สุขสบาย เหลือกินเหลือใช้ มีฐานะพอควร ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางสังคมเศรษฐกิจะส่งผลกับคนพวกนี้อย่างมาก
อาจมีภัยอันเกิดจากทรัพย์สินได้ เป็นชีวิตที่ดูน่าสนใจมาก

ไม้ใบ ได้แก่มนุษย์ที่มีเงินเดือน มีรายได้จากอาชีพบริการหรือรับจ้าง มีพอกินพอใช้ สามารถอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก แต่ก็ต้องรู้จักกินรู้จักใช้ไม่ฟุ่มเฟือยมากนัก ชีวิตจึงจะมีความสุข


ต้นไม้ในกระถางต้องดูแลรดน้ำ บำรุงดินอยู่เสมอ แต่
ไม้ใหญ่ปลูกลงดิน ยืนต้นแล้ว หยัดยืนอยู่ด้วยตัวเอง เติบโตท้าทายแดดฝน
งอกงามได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องรดน้ำให้ปุ๋ยเลย


ชีวิตที่มีอยู่อย่างสมเหตุ สมผล มีธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้ไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยภายนอกมากเกินไป สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เจริญอยู่ได้ด้วยตัวเอง


พืชล้มลุกเจริญเติบโตได้รวดเร็ว เมื่อออกดอกผลแล้วก็ตายไป
พืชยืนต้นจะเจริญเติบโตได้ช้ากว่า เพื่อเตรียมรากและลำต้นให้แข็งแรง
แต่เมื่อได้ผลแล้วก็อยู่ได้นานคุ้มค่าความเหนื่อยยากและการรอคอย


การศึกษาก็เป็นเช่นนั้น ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างสูง
แต่เมื่อได้ผลลัพท์แล้ว ก็ทำให้ชีวิตมีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน


เมื่อรดน้ำใส่ปุ๋ยที่โคนต้น
เราจึงจะได้ดอกผลที่ปลายกิ่งไม้
เมื่อเราหวังผลสำเร็จงดงามของชีวิต
เราต้องสร้างเหตุที่จะทำให้เกิดผล
เราต้องรดน้ำลงที่รากของชีวิต
รากของชีวิตก็คือ การศึกษาและปัญญานั่นเอง


การปลูกไม้แคระ
เขาทำโดยการจำกัดขนาดของกระถางให้มีขนาดเล็กๆ
ให้รากมีขนาดสั้นๆ ต้นไม้ยืนต้นก็โตขึ้น
โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นต้นไม้ย่อส่วนในกระถางเสียแล้ว
คนที่มีปิดตา ปิดใจ ไม่เปิดรับความรู้ ความคิดเห็นของคนอื่น
ก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกันนั้น


ต้นไม้ยิ่งสูงเท่าไหร่
รากก็ยิ่งลึกเท่านั้น
คนดีน่าเคารพนับถือเพียงใด
ปัญญาก็ยิ่งลึกซึ้งเพียงนั้น


ใบไม้บนต้น ย่อมมีทั้งยอดอ่อน ใบอ่อน
ใบเขียวสด และใบแก่เหลืองที่พร้อมจะหล่นร่วง
ชีวิตคนเราแต่ละคนก็เปลี่ยนจากวัยทารก เป็นวัยเด็ก
วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา เช่นกัน


ขอเธอจง..................
มั่นคงเหมือนต้นโพธิ์
ร่มเย็นเหมือนต้นไทร
อดทนเหมือนต้นไผ่
มีใจบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว


มีใจกว้างเหมือนดั่งท้องฟ้า
มีความเยือกเย็นเหมือนสายน้ำ
มีความมั่นคงเหมือนขุนเขา
มีความเมตตาเสมือนแผ่นดิน


ต้นไม้ทั้งหลาย ยืนต้น ท้าทายทั้งแดดและฝน
เพื่อ สร้างอากาศ อาหาร ที่อยู่อาศัย แก่เรา
แล้วเราหล่ะมัวทำอะไรอยู่


ต้นไม้คือธรรมชาติ ชีวิตเราก็เป็นธรรมชาติ
ธรรมะก็คือเรื่องราวของธรรมชาตินี่เอง

เราเรียนรู้ธรรมชาติบางส่วนได้จากต้นไม้
เราเรียนรู้ธรรมะทั้งหมดได้จากตัวเราเอง

ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เป็นชีวิตที่มีสาระ
มีความสุขเบาจากความไม่ยึดติดในชีวิต
มุ่งก่อประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา
อันเป็นผลจากการดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัญญา





ที่มา : จินตนาการ





ความกตัญญู
------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1382902


'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน
ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ'

'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ'

ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ
สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ
จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ
มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม

'พี่หนอม มีไรหรอคะ'

'ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย'

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ
ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา
แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ'

ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา
แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ'

แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง...'

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก
คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้า
แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้อง
กินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย'

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม
พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ'

แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า

'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย
อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม
แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'

'แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่'

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก
จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท
ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี
ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'

'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน
บ้านป้าหนอมเขานะแม่'

'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน
ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน
อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..
แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ
รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้'

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง
คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้
ี้อีกเลยจนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก
ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏ
แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน
แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้อง
ยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก
ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม
เป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่
ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก
มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
จะได้หายเร็วๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า
โรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที
ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ
เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง
ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า
โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก
ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า

ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ
อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ
ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด
จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
ค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด
ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล
บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า
เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า
คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัว
ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่

โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น

เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน


เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

จิปาถะ...

...วิสาขบูชา...

...เพื่อพ่อพอเพียง...

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บทเรียน Microsoft Access

http://www.pbps.ac.th/e_learning/access/main.html

http://office.microsoft.com/th-th/access-help/


ไมโครซอฟท์แอคเซส (Microsoft Access) คือ
โปรแกรมเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูล มีตารางเก็บข้อมูลและสร้างคิวรี่ได้
มีส่วนคอนโทลให้เรียกใช้ในรายงานและฟอร์มสร้างมาโครและโมดูล
ด้วยภาษาเบสิกเพื่อประมวลผลตามหลักภาษาโครงสร้าง หรือจะใช้เป็นเพียงระบบฐานข้อมูลให้โปรแกรมจากภายนอกเรียกใช้ซึ่งง่ายสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องการเขียนโปรแกรมหรือ
ผู้พัฒนาระบบฐานข้อมูลมา
แล้วช่วยให้การพัฒนาระบบงานเสร็จได้อย่างรวดเร็ว



คำอธิบายรายวิชา
กำหนดการจัดการเรียนรู้





Microsoft Access บทเรียน

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บทเรียน Microsoft Excel

http://office.microsoft.com/th-th/excel-help/

Excel 2010
Excel 2007
Excel 2003




http://www.thaigoodview.com/node/18357?page=0%2C0